วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Re - engineering : A Tool for Organizing


Re-engineering

1.  หลักการ / แนวคิด / ประวัติความเป็นมา
     Michael Hammer and James Champy
     แนวความคิดของของ Adam  Smith ไม่เหมาะสมกับสภาพธุรกิจปัจจุบัน ด้วยสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมจากปัจจัยผันแปร 3 ประการ (3C)
    1.  ความสำคัญของลูกค้า (Customer)
    2.  สภาพการแข่งขัน (Competition)
    3.  การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (Change)
           Michael  Hammer and James Champy  ได้นิยามอย่างเป็นทางการของคำว่า “REENGINEERING” ไว้ในหนังสือ “รีเอ็นจิเนียริ่ง เดอะ คอร์ปอเรชั่น”  ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี  2536 ว่า
           “รีเอ็นจิเนียริ่ง” (Reengineering)  หมายถึง “การพิจารณาหลักการพื้นฐานและการคิดแบบขึ้นใหม่ชนิดถอนรากถอนโคนของกระบวนการธุรกิจเพื่อบรรจุซึ่งผลลัพธ์ของการปรับปรุงอันยิ่งใหญ่  โดยใช้มาตรวัดผลการปฏิบัติงานที่ทันสมัยและสำคัญที่สุด  ซึ่งได้แก่  ต้นทุน คุณภาพ  การบริการและความรวดเร็ว  คำนิยามศัพท์ที่เป็นหัวใจหลักสี่คำด้วยกัน

2.  องค์ประกอบ ประกอบด้วยปัจจัย 4 ประการ
             -    ปัจจัยที่ 1  :  พื้นฐาน (Fundamental)
             -      ปัจจัยที่ 2 :  ถอนรากถอนโคน (Radical)
             -     ปัจจัยที่ 3  :  ยิ่งใหญ่ (Dramatic)
             -     ปัจจัยที่ 4  :  กระบวนการ (Processes)                

3.  เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
              -    ใช้เพื่อยกระดับโครงสร้างขององค์กร
              -   ใช้เพื่อปรับกระบวนการทำงาน  การไหลของข้อมูล (work flow)
              -    ใช้เพื่อการปรับภาพลักษณ์องค์กร
              -    สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากขึ้น

4. ข้อดีและข้อเสียของ Re - engineering
            ข้อดี :
                -       สามารถลดขั้นตอน  ทำงานได้หลาย ๆ ช่วงการบังคับบัญชาสั้นลง
                -       ด้านอำนาจและความรับผิดชอบ ทำให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น
                -      ก่อให้เกิดการขยายงานอย่างเป็นระบบ เกิดความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
                -      ก่อให้เกิดการประหยัดในการดำเนินการทั้งต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อม
                -      มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญอันจะนำไปสู่ให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น
                -      เจ้าหน้าที่หรือพนักงานสามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น

ข้อเสีย :
                -    จะใช้เงินลงทุนสูง
                -     การใช้เวลาในการวิเคราะห์กระบวนการใช้ระยะเวลานานเกินไป
                -     เกิดแรงต่อต้าน

5.  ขั้นตอนในการทำ Re-engineering
             1.      Re-think     คิดแบบใหม่เพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหา
             2.      Re-design   ออกแบบกระบวนการทำงานใหม่
             3.      Re-tool       นำอุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อตอบสนองงานแบบใหม่
             4.      Re-train      ฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการทำงานแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6.  มีใครนำเครื่องมือนี้ไปใช้บ้างและได้ผลสรุปอย่างไร / กรณีศึกษา
           ธนาคารกสิกรไทย ต้องการเป็นธนาคารที่ให้บริการครบวงจร (Universal Banking)  จึงมีการนำ   Reengineering  มาใช้ โดยให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้า  การบริการที่รวดเร็ว  มีการเปิดตัวกลุ่มทางการเงิน "K Excellence"  ได้จัดแบ่งสายงานใหม่ออกเป็น 8 สายงาน (ปัจจุบันมีทั้งหมด 12 สายงาน) แบ่งกลุ่มลูกค้าใหม่ (Segmentation) ออกเป็น 7 กลุ่ม และภายใต้การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) ธนาคารยังเลือกแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Product Domain) ออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อสะดวกต่อการนำเสนอที่ก่อประโยชน์สูงสุดกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม
           ที่สำคัญที่ธนาคารได้ทำการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ก็เรื่องชื่อของธนาคาร เพื่อไม่ให้ลูกค้าต่างชาติ หรือ นักธุรกิจต่างชาติ เข้าใจผิด คิดว่า ธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารเพื่อกสิกร หรือ ชาวนาเท่านั้น ทางธนาคารกสิกรไทยจึงได้ปรับเปลี่ยนชื่อเรียกธนาคารใหม่ในภาษาอังกฤษว่า ธนาคารกสิกรไทย Kasikorn Thai Bank หรือพยายามใช้ชื่อย่อว่า K-Bank โดยพยายามเน้นที่ตัว K ซึ่งก็คือ กสิกร ให้มีความโดดเด่น ผู้เขียนคาดว่าในอนาคต ธนาคารกสิกรไทย อาจจะปรับเปลี่ยนอีก โดยเรียกเป็น เค-แบงก์ แทนกสิกรไทยเลย จะได้ไม่มีคราบของธนาคารชาวนาหลงเหลืออยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น