CSF และ KPI
1.
ประวัติความเป็นมา
เริ่มจากปี 1961 ได้มีบทความหนึ่งในนิตยสาร ฮาวาร์ดบิสเนส รีวิว โดย Ronald
Daniel ใช้วลีเพื่ออธิบายว่า “เป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดจริงๆที่ต้องมี
ถ้าไม่มีแล้วจะทำให้องค์กรไม่ประสบความสำเร็จ” ต่อมาในปี 1986
Dr.John F. Rockartจากนิตยสารเล่มเดียวกัน ได้ต่อยอดว่า เดิมที
CSF กำหนดไว้เฉพาะในระดับองค์กรเท่านั้น
หมายถึงเป็นแค่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อองค์กร
ต่อมาได้วิวัฒนาการกระจายลงไปที่แผนกงานจนถึงแต่ละตัวบุคคล
|
1. ประวัติความเป็นมา
Marc J. Epstein and Jean-Francois
Manzoni, (The European Institute of Business
Administration, Bd. de Constance, F-77300 Fontainebleau, France, 1997) การพัฒนาองค์กรมีความผูกพันกับการแปลความหมายของคำว่าวิสัยทัศน์
และพันธกิจ ไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย
หรือองค์กรจะสามารถบรรลุหรือเป็นไปตามพันธกิจหรือวิสัยทัศน์ได้โดยผ่านวัตถุประสงค์
ซึ่งผู้ช่วยสำคัญก็คือ กุญแจหลักสู่ความสำเร็จ (Key Success Factors:
KSF) โดยการแปลความเป็นตัวเลขหรือข้อมูลเชิงปริมาณผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า
(Key Performance Indicators: KPI)
|
2.
เครื่องมือคืออะไร/มีองค์ประกอบอะไร
ปัจจัยที่สำคัญยิ่งที่ต้องทำให้มีหรือให้เกิดขึ้น
เพื่อให้บรรลุความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ หรือก็คือเป็นการให้หลักการ แนวทาง หรือวิธีการที่องค์กรจะสามารถบรรลุวิสัยทัศน์ได้
แต่ละองค์กรจะมีปัจจัยแห่งความสำเร็จเป็นหลักหมาย
ที่เป็นรูปธรรมในการเชื่อมโยงการปฏิบัติงานทุกระดับ ให้มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้บริหารขององค์กรรู้ว่าต้องทำสิ่งใดบ้างเพื่อให้ผลสัมฤทธิ์ขององค์กรตอบสนองวิสัยทัศน์
หากปราศจากปัจจัยแห่งความสำเร็จแล้ว
วิสัยทัศน์ขององค์กรจะไม่ได้รับการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลปัจจัยแห่งความสำเร็จเป็นเสมือนเครื่องมือ
หรือวิธีการฝึกการแยกแยะและวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่จะเร่งดำเนินการให้ดีที่สุด
เพื่อการบรรลุเป้าหมายการประกอบการที่เหนือกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
องค์ประกอบของ
CSF
1. องค์ประกอบภายนอก
2. องค์ประกอบภายใน
3. องค์ประกอบด้านเทคโนโลยี
4.
องค์ประกอบด้านการเงิน
|
2. เครื่องมือนี้คืออะไร/มีองค์ประกอบอะไร
ตัวชี้วัดผลสำเร็จของงาน
หรือ ตัวบ่งชี้สมรรถนะหลัก หรือบางแห่งก็เรียกว่าตัวชี้วัดผลงานหลัก
เป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยประเมินผลความสำเร็จขององค์กรได้ชัดเจนมากขึ้น
ธุรกิจหลายแห่งมีการกำหนดตัวชี้วัดผลงานตั้งแต่ระดับองค์กร
และแตกลงมาสู่ระดับฝ่าย แผนก ซึ่งตัวชี้วัดเหล่านี้
มักจะเป็นเครื่องมือในการบอกว่าหน่วยงานนั้นๆ
ทำงานได้ตามเป้าหมายหรือได้ตามมาตรฐานตัวชี้วัดผลงานที่กำหนดหรือไม่
ถ้าทำได้ก็หมายความว่าผลงานของหน่วยงานนั้นเป็นที่น่าพอใจ หรือมีผลงานที่ได้มาตรฐาน
แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ
การที่หน่วยงานจะสามารถบรรลุผลตามตัวชี้วัดที่กำหนดได้นั้น
พนักงานในหน่วยงานจะต้องช่วยกันทำงานเพื่อให้หน่วยงานได้ผลสำเร็จของงานตามเป้าหมายที่กำหนด
ดังนั้น พนักงานในหน่วยงานจึงจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดผลงาน เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินผลงานของพนักงานแต่ละคนว่า
ทำงานขนาดไหนจึงจะได้มาตรฐานที่กำหนด หรือสำเร็จตามเป้าหมาย
องค์ประกอบของKPI
1. วัตถุประสงค์
(Objective) หรือผลสัมฤทธิ์ (Result)
2.
ตัวชี้วัด (Indicators)
3. เป้าหมายหรือมาตรฐาน
(Target or Standard)
4.
เกณฑ์การวัด (Criteria)
|
3.
เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
1.
เพื่อบรรลุความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ขององค์กร
2.
เพื่อมีแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการยึดโยงการปฏิบัติงานทุก
ระดับ และมุ่งไปในทิศทางเดียว
3.
เพื่อทำหน้าที่ชี้หรือเป็นหลักหมายสำคัญต่อบรรลุวิสัยทัศน์
วัตถุประสงค์ขององค์กร
|
3.
เครื่องมือนี้ใช้เพื่ออะไร
1.
เพื่อวัดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
2. เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมต่อเป้าหมายขององค์กร
3. เพื่อพัฒนาความสามารถขององค์กร และบุคคล
4.
เพื่อใช้บริหารผลตอบแทนบุคลากร
5. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในองค์กร
|
4. ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี :
เป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้บริหารมีส่วนร่วม และ ให้ความ
สนใจต่อการกำหนด CSF
ข้อเสีย:
ต้องการความร่วมมือ
สูง เพราะปัจจัย หรือ หัวข้อต่าง ๆ ที่มีผลต่อความสำเร็จในการแข่งขันทางธุรกิจ
ซึ่ง ผู้บริหารควรดูแลเอาใจใส่ และ ประเมินผลความก้าวหน้าขององค์กร
|
4. ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี:
1. มีความว่องไวในการตอบสนอง
การเปลี่ยนแปลง ติดตาม และ
แสดงผล
2. สามารถนำไปเพื่อการเปรียบเทียบ และประเมินได้
3. มีความชัดเจน และเข้าใจได้ (ไม่กำกวม หรือคลุมเครือ)
4. สามารถประสานและถ่ายทอด จุดมุ่งหมายขององค์กร
ไปยัง
หน่วยงาน และบุคลากรได้ในที่สุด
5. สนับสนุนการประเมินอนาคต
และรายงานผลในอดีต
6. มีความเป็นไปได้ในการได้มา
และความคุ้มค่าของข้อมูล
7. สามารถสะท้อนหรือเชื่อมโยงกับ ความคาดหวัง-ความต้องการ
ของลูกค้า, คุณภาพ-การควบคุม
และการยกระดับคุณภาพ, ความสามารถในการแข่งขันได้
และจุดมุ่งหมายหลักขององค์กร
8.
สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์/พันธกิจ/กลยุทธ์
9.
วัดเป็นตัวเลขได้ แต่ถ้าจำเป็น
(โดยเฉพาะในงานด้านทรัพยากร
มนุษย์) อาจใช้แค่ยืนยันได้ก็เพียงพอ
10. สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากไม่เหมาะสม
11. มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนทุกตัววัด
ข้อเสีย:
1.
ผู้บริหารขาดความมุ่งมั่นในการสร้างดัชนีชี้วัดความสำเร็จของงาน
2. การกำหนดดัชนีชี้วัดและค่าเป้าหมายที่มี
ความลำเอียง
3.
ดัชนีชี้วัดแต่ละตัวไม่อยู่บนพื้นฐานที่สามารถเปรียบเทียบกันได้
4.
ช่วงเวลาในการเก็บข้อมูลของดัชนีชี้วัดไม่เหมาะสมทำให้ไม่
สามารถใช้สำหรับการชี้นำหรือบ่งบอกเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดขึ้นในอนาคตได้
5. ไม่มีการนำข้อมูลที่ได้จากดัชนีชี้วัดมาประกอบการบริหารเพื่อ
ผลักดันให้เกิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
6.
ในการสร้างดัชนีชี้วัดส่วนใหญ่เน้นที่ผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ
ในการสร้างดัชนีชี้วัด
|
5.
ขั้นตอนการจัดทำ CSF
ขั้นที่ 1 ทำการวิเคราะห์ด้านสภาพแวดล้อมภายนอก
ขั้นที่ 2 ค้นหา CSF จากลักษณะพิเศษของธุรกิจ
ขั้นที่ 3 คาดคะเนความได้เปรียบของการแข่งขัน
|
5.
ขั้นตอนการจัดทำ KPI
ขั้นที่ 1: การสร้าง KPIs Mindset ให้กับผู้บริหารและพนักงาน
ขั้นที่ 2: การจัดตั้งทีมงานผู้รับผิดชอบ
ขั้นที่ 3: การกำหนด KPIs ในแต่ละระดับ
ขั้นที่ 4: การสร้างระบบจัดเก็บข้อมูลตาม KPIs ที่กำหนด
ขั้นที่
5: การทำความเข้าใจ KPIs
ที่กำหนดและขั้นตอนการเก็บข้อมูล
|
6.
มีใครนำเครื่องมือไปใช้บ้าง
1.
The Impact of Critical Success Factors across the Stages of Enterprise Resource Planning
Implementations: krnelson@alpha.utampa.edu: aa3808@wayne.edu. Toni M. Somers: Wayne State University and Klara Nelson:
The University of Tampa.
2. Critical success factors for
international education
marketing: Tim Mazzarol: Curtin
Business School, Curtin University of Technology, Perth, Australia
International Journal of Educational Management: 12/4 [1998] 163–175: © MCB
University Press: [ISSN 0951-354X].
3. A new framework
for determining critical
success/failure factors in projects: International Journal
of Project Management Vol.14. No.3. Pp. 141-151, 1996: Walid Belassi and Oya
Icmeli Tukel.
|
6.
มีใครนำเครื่องมือไปใช้บ้าง
1. Intellectual capital –
defining key performance indicators for organizational knowledge assets: www.emeraldinsight.com/researchregister: Bernard Marr, Gianni Schiuma, and, Andy Neely.
2. การประเมินประสิทธิผลของการบริหารจัดการแบบมุ่งผลสำฤทธิ์ในโครงการชลประทานประเภทรับน้ำนอง:
Kamphaengsean Acad.J. vol. 8. No. 3. 2010. Pages 26-39: วิทยาสารกำแพงแสน
ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 2553: อภินันทร์
จ่าพันดุง, บัญชา ขวัญยืน และ เจษฎา แก้วกัลยา.
3. Sustainability in Action:
Identifying and Measuring the Key Performance Drivers: www.lrpjournal.com. Long Range Planning 34 (2001) 585-604: Marc J. Epstein
and Marie-Losee Roy.
|
7. กรณีศึกษา "กรมชลประทาน"
ขอบคุณที่มาของข้อมูล
คุณกรรณิการ์ พรจิตรสุวรรณ
รวบรวมโดย
นางสาวรุ่งลักษมี รอดขำ
DBA 04 มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น